เพาะเห็ดเข็มทองที่บ้าน ทำง่าย ปลอดภัย ไร้สารพิษ

เห็ดเข็มทองกลายเป็นเห็ดยอดนิยมที่นั่งอยู่ในใจใครหลายๆคนตลอดเวลา เพราะหากคิดจะสั่งเมนูเห็ดสักอย่าง เจ้าเห็ดเข็มทองตัวนี้มักจะเป็นหนึ่งในพระเอกที่เข้ามาทำให้อาหารจานนั้นเอร็ดอร่อย พร้อมไปกับคุณประโยชน์มากมายที่เห็ดตัวนี้มอบให้เรา จนทำให้หลายๆคนพลาดไม่ได้ที่จะสั่งอาหารหรือทำอาหารที่มีส่วนประกอบของเห็ดเข็มทองเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง

แต่เห็มเข็มทองนี่ก็ราคาไม่เบาเลย จะดีกว่าไหมถ้าเราสามารถเพาะเห็ดเข็มทองกินได้เองที่บ้าน หรือทำเป็นรายได้เสริมเพื่อเพิ่มเงินให้แก่กระเป๋าสตางค์ของคุณ เพราะวิธีการเพาะเห็ดชนิดนี้ทำได้ง่ายมากๆ  จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ตามมาดูได้เลยค่ะ

เห็ดเข็มทองเป็นแบบไหน

“เห็ดเข็มทอง” มีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า “เห็ดเหมันต์ (Winter Mushroom)” หรือ “needle mushroom” คือ เห็ดสีขาวอมเหลืองที่ก้านดอกมีลักษณะเรียวยาวคล้ายรูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 12 – 14 เซนติเมตร หมวกดอกมีขนาดเล็ก กลมๆ ผิวเรียบ และลื่น
 

วิธีเพาะเห็ดเข็มทอง

เตรียมวัสดุสำหรับการเพาะเห็ด

1. ขี้เลื่อยผสมกับรำละเอียด 10-20 เปอร์เซ็นต์ และแกลบ 5-10 เปอร์เซ็นต์ (โดยขี้เลื่อยควรรดน้ำกองทิ้งไว้จนน้ำที่ไหลซึมออกมามีสีใสๆ)

2. เชื้อเห็ดที่จะนำมาปลูก (เชื้อที่จะนำมาเพาะเห็ดควรอบฆ่าเชื้อมาก่อน)

3. ขวดพลาสติกทนความร้อนสูง

วิธีปลูกเห็ด

1. นำขี้เลื่อยใส่ขวด ทำให้เย็นโดยลดอุณหภูมิให้ได้ประมาณ 20 องศาเซลเซียส

2. ใส่เชื้อสำหรับการเพาะเห็ดลงไปในขวดที่เตรียมไว้

3. นำขวดเพาะที่ใส่เชื้อเห็ดเรียบร้อยแล้วไปบ่มเชื้อโดยตั้งไว้ในห้องหรือตู้ที่อุณหภูมิประมาณ 8-12 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเส้นใยเห็ด

4. บ่มเช่นนี้ 25-30 วัน จนเชื้อเจริญเต็มขวด เมื่อเชื้อเจริญเต็มขวดแล้ว ให้เปิดฝาออกแล้วใช้เหล็กปลายแบนงอเหมือนช้อนขุดเอาส่วนหน้า หรือส่วนที่เป็นเชื้อขี้เลื่อยออกไปให้หน้าเรียบ

5. นำไปเก็บไว้ในอุณหภูมิ 10-15 องศา และพยายามรักษาอุณหภูมิให้สม่ำเสมอตลอดเวลา ใช้เวลา 5-10 วัน เห็ดจะเริ่มสร้างตุ่มดอก จากนั้นเลี้ยงต่อไปเรื่อยๆจนดอกเห็ดโผล่พ้นออกจากปากขวด 2-3 เซนติเมตร ก็สามารถนำเห็ดไปทานได้ทันที

คุณประโยชน์ของเห็ดเข็มทอง

เห็ดเข็มทอง เป็นเห็ดที่มีคุณค่าทางอาหารสูง โดยมีองค์ประกอบของโปรตีน 25% ไขมัน 1% แป้ง 53% เยื่อใย 12% เถ้า 8% วิตามินและเกลือแร่ต่าง ๆ ให้พลังงาน 34 กิโลแคลอรี่ นอกจากนี้ยังมี “สาร Flammulin” ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ด้วย

ในขณะที่ ส่วนประกอบของโครงสร้างเส้นใยอาหารก็มีความแตกต่างจากเห็ดชนิดอื่น เนื่องจากเป็นส่วนประกอบของสารพอลิแซ็กคาไรด์ ที่เรียกว่า “ไคโทซานเห็ด (ไคโทกลูแคน)” ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในบรรดาเห็ดทั้งหลาย ไคโทซานเห็ดจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ และเมื่อไคโทซานเห็ดละลายเข้าสู่กระแสเลือดแล้ว จะช่วยดักจับไขมันส่วนเกินในเลือดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคอ้วน ก่อนขับออกมาพร้อมกับอุจจาระได้
       

Data from:  plug-innews.com